“เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุค New Normal หลายธุรกิจรวมทั้งผู้บริโภคต่างก็หันไปให้ความสนใจสินค้า และบริการออนไลน์มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ หลีกเลี่ยงการใช้เงินหากไม่จำเป็น บวกกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากคู่แข่งที่คอยออกคอนเทนต์ใหม่ๆ มาดึงดูดผู้บริโภค ทำให้หลายเนื้อหาที่เราพยายามนำเสนอแก่ผู้บริโภค กลายเป็นแค่หนึ่งในข้อความที่ถูกดูแบบผ่านๆ ส่งผลให้การสร้างยอดขาย หรือขยายฐานลูกค้าเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
LiB จึงขอแนะนำ 3 กลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์จากกว่า 100 บริษัทชั้นนำทั่วโลกแล้วว่าสามารถทำให้ธุรกิจของคุณเอาชนะคู่แข่ง และกลับมาเป็นที่สนใจของลูกค้าในยุค New Normal ได้อีกครั้ง
LiB ได้ใช้วิธีการเหล่านี้ในการสนับสนุนธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก รวมถึง Start Up ทั้งในและต่างประเทศให้สามารถตั้งฐานลูกค้าหลัก รวมทั้งขยายฐานลูกค้าจนประสบความสำเร็จไปแล้วกว่า 100 เคสต่อปี และยังคงเคียงข้าง พร้อมช่วยเหลืออีกหลายเคสที่ต้องการการสนับสนุนในช่วง New Normal นี้อย่างต่อเนื่อง”
ฝ่ายการตลาดของคุณ มีเวลาพอที่จะสร้างคอนเทนต์ที่เหมาะสมที่สุด เพื่อส่งให้กับแต่ละลีดหรือเปล่า?
Social Media Marketing (SMM) คือ การทำการตลาดบน Social Network โดยช่องทางที่ได้รับความนิยมที่สุดในตอนนี้ คือ Facebook, Line, Instagram และ Youtube
แต่ที่น่าเสียดายคือ คนส่วนใหญ่ยัง “ใช้ไม่เป็น”
โดยข้อผิดพลาดที่พบเห็นกันส่วนใหญ่นั่นก็คือการจ่ายเงินลงโฆษณา โดยขาดการวางแผนที่ดี จนทำให้ไม่สามารถสร้างประโยชน์จากเงินที่ลงไปได้เท่าที่ควร หรือได้ผลแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น นอกจากนั้น ธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงโพสต์เนื้อหาเพื่อการสื่อสารทางเดียว เช่นการแจ้งสินค้าใหม่ แจ้งโปรโมชั่น โดยพยายามเน้นความน่าดึงดูดใจของตัวสาร และหวังให้คนที่เห็นมาซื้อสินค้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ต่างจากการตลาดยุคเก่า ที่ทำได้แค่การสื่อสารฝ่ายเดียว
ความสำเร็จของการตลาดแบบ SMM จริงๆ แล้วต้องวัดด้วย Engagement หรือการมีส่วนร่วมของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น การสนทนาระหว่างแบรนด์กับลูกค้า หรือการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วม เช่น การแข่งขันออนไลน์ หรือแม้แต่การจัดกิจกรรมในสถานที่จริง เพื่อดึงลูกค้าให้เข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบ Offline ด้วย
อีกหนึ่งจุดสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม คือการวางแผนเลือกกลุ่มเป้าหมายโฆษณา คนส่วนใหญ่มักจะเลือกเป้าหมายตามเกณฑ์ง่ายๆ เช่น พื้นที่และอายุ ซึ่งยังกรองได้ไม่ละเอียดพอ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะสื่อสารออกไปผิดเป้าหมาย และไม่ได้ผลตอบรับอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ถ้าเราลองวิเคราะห์ เจาะลึกประวัติลูกค้าให้ลึกลงไป และสร้างเป็น Customer profile ที่มี Keyword ร่วมกัน ก่อนนำคำเหล่านั้นไประบุกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการโฆษณาได้
ข้อดีหลักๆ ของการตลาดแบบ SMM ก็คือฐานผู้ใช้ที่มหาศาล ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ แม้ผู้บริโภคนั้นอาจจะยังไม่ได้มองหาสินค้าของเราอยู่ รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการถูกบอกต่อ หรือได้รับการแชร์ข้อมูลไปในวงกว้าง ทำให้สามารถเพิ่ม Brand awareness ได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญสุดคือ ค่าใช้จ่ายต่ำ ทำให้สามารถวางแผนกลยุทธ์เพื่อทบทวน และแก้ไขเนื้อหาที่ต้องการสื่อสารได้
Marketing Automation เป็นวิธีการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยหาลูกค้าให้กับธุรกิจโดยอัตโนมัติ
ซึ่งระบบนี้จะส่งข้อมูลที่เหมาะสมที่สุด ในเวลาที่เหมาะสมที่สุดให้กับลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ จากนั้นระบบก็จะเก็บคะแนน แล้วค่อยๆ อัพแรงค์ของลูกค้าแต่ละคนขึ้นมา จนกระทั่งเมื่อคิดว่าลูกค้าพร้อม ก็จะบอกให้เราติดต่อไป
โดยแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนหลักๆ คือ
ในแต่ละขั้นตอน ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เช่นประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ ประวัติการคลิกดูสินค้า ก็จะถูกเก็บไว้ เพื่อให้เรารู้ว่าลูกค้าแต่ละคนสนใจอะไร น่าจะอยากได้ข้อมูลอะไรต่อไป แล้วเราควรส่งข้อมูลแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนจริงๆ เช่น การแนะนำสินค้าที่ใกล้เคียงกับที่ลูกค้าหา หรือการให้ข้อมูลเรื่องสินเชื่อเพื่อทำให้ลูกค้าคิดไปถึงเสต็ปถัดไปในการซื้อ เพื่อเพิ่มความสนใจของลูกค้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงการเสนอขายสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
ซึ่งข้อดีของ Marketing automation หลักๆก็คือ ทำให้เราเข้าใจความต้องการลูกค้ามากขึ้น รวมถึงทำให้สามารถทำการตลาดกับลูกค้าจำนวนมากๆ ได้พร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด และยังได้ฐานข้อมูลลูกค้ามาทำ CRM ต่อแบบอัตโนมัติอีกด้วย
เมื่อสภาวะตลาดมีการแข่งขันสูง มีสินค้าออกมาหลากหลายขึ้น ลูกค้าก็มีตัวเลือกเยอะขึ้น
การตลาดแบบ Mass marketing หรือการเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบกว้างๆ โดยใช้แค่อายุ กับพื้นที่ จึงกลายเป็นรูปแบบที่ไม่ตอบโจทย์ เนื่องจากเป็นการเปิดช่องว่างให้คู่แข่งเข้ามาแย่งแชร์ได้แบบง่ายๆ เหมือนตลาด commodity ที่แข่งกันด้วยราคาเพียงอย่างเดียว
สิ่งที่เราควรทำคือการ Segmentation ลูกค้า โดยใช้ข้อมูลด้านความต้องการของลูกค้าเชิงลึกจริงๆ ไม่ใช่แค่ข้อมูลพื้นฐานกว้างๆ และนำข้อมูลนี้มาหากลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับ Differentiation needs หรือ ความต้องการเฉพาะตัว เพียงเท่านี้เราก็จะตัดคู่แข่งไปได้เยอะ และมีโอกาสชนะสูง
Data-driven segmentation marketing มีขั้นตอนหลักๆ 3 ขั้นตอน คือ 3C, STP และ 4P ซึ่งเป็น Framework ที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ยังมีอีก 3 จุดที่คนส่วนใหญ่มักทำพลาด นั่นก็คือ
กรุณากรอกแบบฟอร์มด้านล่าง ถ้าอยากรู้ตัวอย่างเคสในธุรกิจของคุณ